About

ประเภทของกระจก โดยจำแนกประเภทของกระจกตามกระบวนการผลิตด้วยกรรมวิธีต่างๆ


ประเภทของกระจก จำแนกประเภทของกระจกตามกระบวนการผลิตด้วยกรรมวิธีต่าง ๆ เพื่อ
ตอบสนองการใช้งานที่แตกต่างกันได้ ดังนี้

1. กระจกธรรมดา (Float Glass)
2. กระจกอบความร้อน (Heat Treated Glass)
3. กระจกเคลือบผิว หรือกระจกสะท้อนแสง (Surface Coated Glass)
4. กระจกดัดแปลง
5. กระจกอื่น ๆ

1.กระจกธรรมดา (Float Glass) กระจกธรรมดาเป็นกระจกพื้นฐานที่เกิดขึ้นจาก
กระบวนการผลิตโดยตรง แบ่งออกเป็น 2 ชนิดได้แก่ กระจกใส และกระจกสี ซึ่งมี
รายละเอียดและข้อพิจารณาในการนำไปใช้งาน ดังนี้
1.1 กระจกใส (Clear Glass)
กระจกใส คือ กระจกโปร่งแสงที่สามารถมองผ่านได้อย่างชัดเจนและให้
ภาพสะท้อนที่สมบูรณ์ไม่บิดเบี้ยว กระจกชนิดนี้จะยอมให้แสงผ่านประมาณ
75-92 % ของแสงที่ตกกระทบซึ่งขึ้นอยู่กับความหนาของกระจก กระจกใสยัง
เป็นกระจกพื้นฐานสำหรับนำไปผลิตเป็นกระจกประเภทต่าง ๆ เช่น กระจก
นิรภัยเทมเปอร์ กระจกนิรภัยหลายชั้น กระจกฉนวนกันความร้อนและกระจก
เคลือบผิว เป็นต้น ทั้งนี้คุณภาพของกระจกเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับคุณภาพของ
กระจกใสที่นำมาผลิตด้วย
1.2 กระจกสี (Tinted Glass)
กระจกสีหรือกระจกดูดกลืนความร้อน (Heat Absorbing Glass) ผลิต
ขึ้นโดยการผสมโลหะออกไซด์เข้าไปในส่วนผสม (Batch Mix) ในขั้นตอนการ
ผลิตกระจก ทำให้กระจกมีสีสัน รวมถึงคุณสมบัติในการดูดกลืนความร้อนจาก
แสงอาทิตย์ที่ส่องมากระทบผิวกระจกและลดปริมาณแสงที่ผ่านกระจก ปริมาณ
แสงที่จะทะลุผ่านกระจกสีขึ้นอยู่กับความเข้มของสี ความหนาและสีของกระจก

2. กระจกอบความร้อน (Heat Treated Glass) กระจกอบความร้อนเป็นกระจกใส
หรือกระจกที่นำไปผ่านกระบวนการปรับแต่งคุณภาพของเนื้อกระจก เพื่อให้มีความ
แข็งแกร่งมากขึ้น หรือรับแรงกระทำจากภายนอกได้มากขึ้น แบ่งออกเป็น 2 ชนิด
ดังนี้
2.1 กระจกนิรภัยเทมเปอร์ (Tempered Glass)
กระจกนิรภัยเทมเปอร์เป็นการนำกระจกไปผ่านกระบวนการเทมเปอริง
(Tempering) เพื่อเพิ่มความแข็งแรง โดยใช้หลักการเดียวกับการทำคอนกรีต
อัดแรง (Prestressed Concrete) คือการสร้างให้เกิดชั้นของแรงอัด
(Compressive Stress) ขึ้นที่ผิวแก้วเพื่อต้านแรงจากภายนอกวิธีการนี้ทำได้
โดยการให้ความร้อนกับกระจกที่อุณหภูมิสูงกว่าจุดอ่อนตัว (Softening Point)
ของแก้วเล็กน้อยที่ประมาณ 650-700 องศาเซลเซียส และทำให้ผิวกระจกเกิด
การเย็นตัวอย่างรวดเร็ว โดยการใช้ลมเย็นเป่า (Air Quenching) ผลของความ
แตกต่างของอุณหภูมิระหว่างผิวนอกกับส่วนกลางของแผ่นกระจกจะทำให้เกิด
เป็นชั้นของแรงอัดขึ้นที่ผิวนอกของแผ่นกระจกทั้ง 2 ด้าน โดยจะประกบชั้น
ส่วนกลางเหมือนลักษณะแซนด์วิช (Sandwich) และชั้นที่ผิวนี้จะช่วยต้านแรง
จากภายนอกทำให้กระจกที่ผ่านกระบวนการเทมเปอริงแล้วมีความแข็งแรง
เพิ่มขึ้นประมาณ 4 เท่า อย่างไรก็ตามก่อนกระบวนการเทมเปอริง จะต้องตัด
กระจกให้ได้ขนาดที่ต้องการก่อน เพราะถ้าตัดหลังจากการผ่านกระบวนการ
เทมเปอริงแล้วกระจกจะแตกละเอียดหมดทั้งแผ่น
2.2 กระจกฮีตสเตรงเทน (Heat Strengthen Glass)
กระจกฮีตสเตรงเทน เป็นกระจกที่ได้จากกระบวนการผลิตที่คล้ายกับ
กระจกนิรภัยเทมเปอร์คือ ให้ความร้อนกับกระจก แล้วปล่อยให้กระจกเย็นตัวลง
แต่ต่างจากกระจกนิรภัยเทมเปอร์ตรงที่การผลิตฮีตสเตรงเทนจะปล่อยให้
กระจกเย็นตัวลงอย่างช้าๆ จึงทำให้มีความแข็งแรงน้อยกว่ากระจกนิรภัยเทม
เปอร์ ในการใช้งานจึงต้องพิจารณาถึงข้อจำกัดในเรื่องความแข็งแรงของกระจก
ด้วย

3. กระจกเคลือบผิว (Surface Coated Glass) กระจกเคลือบผิวเป็นกระจกธรรมดา
ที่นำไปผ่านกระบวนการเคลือบโลหะบนผิวกระจกเพื่อให้เกิดการสะท้อนแสงและ
ความร้อนจากแสงอาทิตย์สำหรับนำไปใช้งานในด้านการประหยัดพลังงานได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ ตลอดจนมีความสวยงามมากขึ้น กระจกเคลือบผิวแบ่งตามรูปแบบ
ของการเคลือบผิว 2 ชนิด ได้แก่
3.1 แบ่งตามชื่อบริษัทผู้ผลิตเครื่องเคลือบผิวกระจกที่ใช้ในเมืองไทยได้ 2 แบบ ดังนี้
• แบบแอร์โค่ (AIRCO) เป็นวิธีการเคลือบโดยใช้ไทเทเนียมบริสุทธิ์ (Ti)
เป็นโลหะหลักในการเคลือบ สามารถเคลือบให้ได้สีสัน ภาพลักษณ์
และคุณสมบัติในการประหยัดพลังงานที่แตกต่างกันตามชื่อรหัสการ
เคลือบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
TE - Titanium Earth
TS - Steel Blue
SS - Silver
TBU - Blue
• แบบเลย์โบลด์ (LEYBOLD)เป็นวิธีการเคลือบโดยใช้ดีบุกบริสุทธิ์ (Sn)
เป็นโลหะหลักในการเคลือบ โดยมีคุณสมบัติในการประหยัดพลังงาน
ใกล้เคียงกับแบบแอร์โค่แต่ให้สีสันที่แตกต่างไปจากแบบแอร์โค่ ตามชื่อ
รหัสการเคลือบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
SL - Silver
AS - Antique Silver
BR - Bronze
SB - Sapphire Blue
3.2 แบ่งตามเทคนิคในการเคลือบผิวกระจกได้ 2 แบบ ดังนี้
• การเคลือบแบบสูญญากาศ (Vacuum Deposition or Soft Coating)
โดยการพ่นโลหะออกไซด์บางชนิดบนผิวด้านใดด้านหนึ่งของแผ่น
กระจก กระแสไฟฟ้าจะทำปฏิกิริยาทำให้โลหะเกาะบนผิวกระจก การ
เคลือบด้วยวิธีการนี้สารที่เคลือบจะถูกขูดขีดออกได้ง่าย แต่สารที่
เคลือบกระจกสามารถเคลือบไปทุกอณูของผิวกระจก กระจกที่ผ่านการ
เคลือบโลหะออกไซด์แล้วจะนำมาผ่านกระบวนการเทมเปอริงหรือ
ฮีตสเตรงเทนไม่ได้ เนื่องจากความร้อนในกระบวนการเทมเปอริงหรือ
ฮีตสเตรงเทนจะทำลายโลหะออกไซด์ที่เคลือบ
• การเคลือบแบบไพโรลิทิค (Pyrolitic Deposition or Hard Coating)
กรรมวิธีนี้กระจกจะถูกเคลือบในขณะที่กระจกยังอยู่ในลักษณะที่เป็น
ของเหลว โลหะออกไซด์จะกระจายแทรกซึมลงในเนื้อกระจกด้วย แม้
วิธีนี้โลหะออกไซด์ไม่สามารถกระจากไปทุกพื้นผิวของกระจกอย่าง
สม่ำเสมอกัน แต่ก็สามารถทำให้กระจกที่เคลือบแบบไพโรลิทิคมีความ
แข็งแรงทนทานกว่ากระจกที่เคลือบแบบสุญญากาศ
3.3 กระจกสะท้อนรังสีอาทิตย์ (Solar Reflective Glass)
กระจกสะท้อนรังสีอาทิตย์เป็นกระจกธรรมดาที่เคลือบผิวด้วยโลหะออกไซด์
ซึ่งมีคุณสมบัติด้านการสะท้อนแสง ทำให้สามารถสะท้อนพลังงานจาก
แสงอาทิตย์ที่แผ่รังสีได้บางส่วน มีค่าการสะท้อนแสงค่อนข้างสูง ความโปร่งแสง
ค่อนข้างน้อย มีสีสันสวยงามหลายสีที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับรูปแบบการเคลือบ
และสีของกระจกที่เป็นวัตถุดิบที่นำมาเคลือบ
3.4 กระจกที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำ (Low-E Glass)
กระจกที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำเป็นกระจกเคลือบสารโลหะโดยมีโลหะเงิน
บริสุทธิ์เป็นองค์ประกอบสำคัญเพื่อให้ได้ผิวเคลือบที่มีค่าการคายรังสี (Emissivity)
ที่ต่ำมาก ทั้งนี้เพื่อให้เกิดลักษณะเด่นในการเพิ่มประสิทธิภาพและคุณสมบัติในการ
ประหยัดพลังงาน โดยที่กระจกยังคงมีลักษณะใส ไม่ทึบแสง ให้ค่าแสงส่งผ่านมาก
และมีค่าการสะท้อนแสงน้อย ค่าการคายรังสีเป็นคุณสมบัติจำเพาะของผิววัตถุใดๆ
ที่บ่งบอกถึงความสามารถในการสะท้อนความร้อนที่ตกกระทบบนผิววัตถุนั้นๆ หรือ
ความสามารถในการแผ่รังสี (Radiate) ความร้อนออกจากผิววัตถุนั้นๆ ดังนั้น
กระจกแผ่นใดที่เคลือบด้วยสารที่มีค่าการคายรังสีต่ำมาก จึงหมายความว่ากระจก
นั้นมีความสามารถในการแผ่รังสีความร้อนออกจากผิวกระจกน้อยมาก ด้วยเหตุนี้
เองทำให้กระจกชนิดนี้ถูกนำไปใช้ทำเป็นกระจกฉนวนกันความร้อนได้เป็นอย่างดี
กระจกที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำจะสะท้อนคลื่นความร้อนและยอมให้แสงผ่าน
กระจกได้ในปริมาณที่ใกล้เคียงกับกระจกธรรมดา ในขณะเดียวกันก็สามารถสะท้อน
คลื่นความร้อนและป้องกันการถ่ายเทความร้อนผ่านกระจกได้ดี และมีการสะท้อน
แสงน้อย กระจกที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำช่วยในการประหยัดพลังงานได้สูง โดยยอม
ให้รังสีคลื่นสั้นจากดวงอาทิตย์ (Short Wave Radiation) ผ่านเข้ามาในตัวอาคาร
ในขณะที่สะท้อนรังสีคลื่นยาวหรือรังสีความร้อน (Long Wave Radiation) ออก
พอสมควร ในประเทศที่มีอากาศร้อน เช่น ประเทศไทยหรือแถบเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้กระจกที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำจะช่วยสะท้อนรังสีความร้อน ซึ่งจะไปลดการ
สะสมความร้อนในอาคาร ทำให้ประหยัดพลังงานไฟฟ้าในการทำความเย็นให้กับ
อาคาร ในการเคลือบกระจกที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำสามารถเคลือบได้ทั้งกรรมวิธี
เคลือบแบบสูญญากาศและเคลือบแบบไพโรลิทิค

4. กระจกดัดแปลง กระจกดัดแปลงเป็นกระจกที่นำมาดัดแปลงด้วยกระบวนการ
(Process) ต่างๆ เพื่อตอบสนองการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ได้แก่
4.1 กระจกฉนวนกันความร้อน (Insulated Glass)
ในการนำกระจกมาดัดแปลงด้วยกระบวนการต่างๆ เพื่อใช้เป็นกระจก
ฉนวนกันความร้อนมีองค์ประกอบในการพิจารณาคือ ความสามารถที่จะเป็นฉนวน
กันอุณหภูมิที่แตกต่างกันระหว่างกระจกทั้ง 2 ด้าน ซึ่งถูกคั่นโดยอากาศแห้ง
เนื่องจากอากาศแห้งซึ่งบรรจุอยู่ในช่องว่างระหว่างกระจกเกิดจากการดูดความชื้น
ของสารดูดความชื้น (Desiccant) ในตัวขอบอลูมิเนียม อากาศแห้งที่ทำหน้าที่
ป้องกันการถ่ายเทความร้อนจากอุณหภูมิที่เกิดขึ้นด้านใดด้านหนึ่งของกระจกจาก
การทดลองพบว่าเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นจะไม่มีผลกระทบต่อความสามารถในการเป็น
ฉนวนของอากาศแห้ง แต่ในทางกลับกัน ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาฟาร์เรนไฮต์
(ประมาณลบ 7 องศาเซลเซียส) จะมีผลทำให้สารดูดความชื้นไม่สามารถทำหน้าที่
ได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้เกิดฝ้าหรือแนวน้ำภายในช่องอากาศแห้ง ดังนั้นผู้ออกแบบ
จะต้องพิจารณาถึงสภาพอากาศ ซึ่งจะมีผลต่อความสามารถในการดูดความชื้นของ
สารดูดความชื้นในกระจกฉนวนกันความร้อนให้เหมาะสมด้วย
กระจกฉนวนกันความร้อนผลิตโดยการนำกระจกอย่างน้อย 2 แผ่น ตัดให้
ได้ขนาดตามความต้องการมาประกบกัน โดยมีอลูมิเนียมซึ่งบรรจุสารดูดความชื้น
คั่นกลาง หลังจากนั้นปิดรอยที่ขอบกระจก ผลก็คือ อากาศภายในช่องระหว่าง
กระจกจะกลายเป็นอากาศที่แห้งไม่มีความชื้นเหลืออยู่ ซึ่งมีคุณสมบัติในการกัน
ความร้อน
4.2 กระจกฮีตมิเรอร์ (Heat Mirror)
ลักษณะของกระจกฮีตมิเรอร์เป็นระบบของกระจกสองชั้น (Double Glazing) ที่
เคลือบสาร ที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำทั้ง 2 ด้านของฟิล์มที่อยู่ระหว่างช่องว่างอากาศ
โดยที่ช่องว่างอากาศทั้งสองข้างจะกลายเป็นช่องว่างอากาศสะท้อนรังสี (Reflective
Air Space) ซึ่งจะทำให้ค่าการถ่ายเทความร้อนรวมของกระจกชนิดนี้ (U-Value)
อาจมีค่าต่ำถึง 1.4 วัตต์/ตารางเมตร.เคลวิน (0.25 บีทียู/ตารางฟุต.ชั่วโมง.องศา
ฟาร์เรนไฮต์)
4.3 กระจกฮีตสต็อป (Heat Stop)
กระจกฮีตสต็อปมีลักษณะเป็นกระจกสองชั้น ประกอบขึ้นด้วยกระจก
สะท้อนแสงที่เคลือบด้วยสารที่มีสภาพการแผ่รังสีต่ำเป็นกระจกด้านนอก และ
กระจกด้านในใช้กระจกใส สารที่เคลือบนั้นสามารถป้องกันความร้อนอินฟราเรด
(Infrared) ให้ผ่านเข้ามาเพียง 5% ช่องว่างตรงกลางใส่ก๊าซอาร์กอน ซึ่งเป็นก๊าซ
เฉื่อยมีคุณสมบัติในการนำความร้อนต่ำ ทำให้กระจกชนิดนี้มีค่าการถ่ายเทความ
ร้อนรวมต่ำ โดยแสงผ่านกระจกชนิดนี้เข้ามาประมาณ 60%
4.4 กระจกนิรภัยหลายชั้น (Laminated Glass)
กระจกนิรภัยหลายชั้น เป็นกระจกที่ผลิตขึ้นด้วยวัตถุประสงค์เพื่อให้ความ
ปลอดภัยแก่ผู้ใช้โดยการนำกระจกตั้งแต่ 2 แผ่นขึ้นไปมาผนึกเข้าด้วยกัน โดยมี
แผ่นฟิล์มโพลีไวนิลบิวทิเรต (Polyvinyl Butyrate; PVB) ที่เหนียวและแข็งแรงซ้อน
อยู่ระหว่างกลางทำหน้าที่ยึดกระจกให้ติดกันเมื่อกระจกชนิดนี้ถูกกระแทกจนแตก
แผ่นฟิล์มโพลีไวนิลบิวทิเรตจะช่วยยึดไม่ให้เศษกระจกหลุดกระจายจะมีเพียงรอบ
แตกหรือร้าวคล้ายใยแมงมุมเท่านั้น กระจกนิรภัยหลายชั้นเป็นกระจกที่ให้ความ
ปลอดภัยสูง นิยมใช้เป็นกระจกบังลมของรถยนต์ หน้าต่างอาคารสูงหรือกระจกกัน
กระสุน เป็นต้น

5. กระจกอื่น ๆ นอกจากกระจกทั้ง 4 ประเภทข้างต้นที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีการผลิต
กระจกชนิดอื่น ๆ อีกมากมายเพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่แตกต่างกันไป เช่น
กระจกเงา (Mirror) กระจกลวดลาย (Pattern Glass) กระจกเสริมลวด (Wired
Glass)

Leave a Reply

Lor separat

jdjukrkkr

Video

Followers